fbpx
Back

เพิ่ม Organic Traffic เข้าสู่เว็บไซต์แบบไร้ต้นทุนด้วยพลัง Title แบบ 3 in 1

เพิ่ม Organic Traffic เข้าสู่เว็บไซต์แบบไร้ต้นทุนด้วยพลัง Title แบบ 3 in 1

ดร. คณวัฒน์ ธีรนิธิวัฒน์

iWisdom Academy Founder
ผู้ก่อตั้งสถาบันไอวิสดอม

[sharethis-inline-buttons]
การเขียน SEO Title ให้ติด Google

เทคนิคการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์เทคนิคหนึ่งที่ผมใช้เป็นประจำ คือ การใส่ Title หรือหัวเรื่องลงไปทีเดียว 3 จุดต่อหนึ่งบทความ หลายคนอาจมีคำถามว่าปกติบทความหนึ่งมันมีแค่ Title เดียว จะยัดใส่ลงไปถึง 3 จุดได้อย่างไร ทำไปแล้วมีประโยชน์อะไร และถ้าสนใจอยากจะทำตามต้องทำอย่างไรบ้าง 

ไม่ต้องกังวลครับ ผมจะตอบทุกคำถามอย่างละเอียดในบทความนี้ และมั่นใจด้วยว่าถ้าทุกคนนำสิ่งที่ผมแนะนำไปทำตาม รับประกัน Organic Web Traffic จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวอย่างแน่นนอนครับ

เลือกอ่านเฉพาะข้อ

กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย SEO

ก่อนอื่น ผมขอ Repeat ประโยคที่ผมมักพูดบ่อย ๆ ในคอร์สสอนทำ SEO

ในการทำ SEO ผมจะ Segment ลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่มหลัก กลุ่มที่ 1 คือ หุ่นยนต์ หรือโรบอท และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มลูกค้าที่เป็นมนุษย์ กลุ่มหุ่นยนต์เปรียบเสมือน Agent ช่วยเราขายสินค้าให้กลุ่มที่ 2 อีกหนึ่งแรง ไม่ว่าเราจะทำ Digital Content รูปแบบไหนก็ตามเราต้องนึกถึง 2 กลุ่มอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญต้องรู้ว่าแต่ละกลุ่มมีความต้องการอะไร แล้วตอบสนองความต้องการนั้นให้ได้ ถ้าทำได้ อันดับ 1 บน Google ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

ขยายความนิดหนึ่งครับ โรบอทในที่นี้หมายถึง Google Robot ส่วนมนุษย์หรือคนก็คือลูกค้าเป้าหมายของเรานั่นเองครับ ตามระบบการทำงานของ Search Engine ทาง Google จะส่งโรบอท (บางครั้งอาจจะเรียกว่าแมงมุม) ไต่ไปตามเว็บไซต์ และลิงก์ภายในเว็บไซต์เพื่อเก็บข้อมูล หลังจากนั้นจะนำข้อมูลดังกล่าวไปประเมินคุณภาพโดยรวมของเว็บไซต์ ก่อนนำไปใช้ในการจัดอันดับและแสดงผล ถ้ามองในมุมนี้จะเห็นว่าสำหรับลูกค้าที่ชื่อ Google สิ่งที่เขาต้องการหลัก ๆ คือ Web และ Content ที่มีคุณภาพ 

ส่วนลูกค้ากลุ่มที่ 2 Deal ยากกว่า เอาใจยากกว่า สิ่งที่พอใจครั้งนี้อาจไม่เพียงพอในครั้งถัดไป แต่ถึงแม้จะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม ในฐานะเจ้าของธุรกิจ / นักการตลาดออนไลน์เราต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะพิชิต “หัวใจ” ลูกค้าของเราให้ได้ … ถอดใจไม่ได้เด็ดขาดครับ

Offer / Value Proposition

ถ้าค่อย ๆ ถอดรหัสสิ่งที่ผมเขียนจะพบว่าการจะทำ  SEO ให้สำเร็จ เราต้องสร้าง Offer / Value Proposition ขึ้นมา 2 ชุด ชุดที่ 1 เป็น Technincal Offer สำหรับ Google นั่นคือ Content ที่มีคีย์เวิร์ดและเนื้อหาประกอบอื่น ๆ เช่น ตัวอักษร (Text) รูปภาพ (Image) และวีดีโอ (Video) ที่ถูกจัดทำขึ้นได้อย่างถูกต้องตาม Algorithm ที่ Google กำหนดไว้ในขณะนั้น

และใน Content เดียวกันเรายังต้องนำเสนอ Offer อีกชุดสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นมนุษย์ ชุดนี้เป็น Non-technical Offer ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้ากับเราหรือชิ่งไปซื้อกับคู่แข่งก็วัดกันที่ชุดนี้ จะว่าไปแล้วก้นบึ้งที่แท้จริงของการทำการตลาด ไม่ว่าจะรูปแบบ Online หรือ Offline คือการแข่งขันกันเอาใจลูกค้า แย่งกันนำเสนอ Offer ที่คิดว่าดีกว่าคู่แข่งเพื่อโน้มน้าวให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า / บริการจากเรา ดังนั้นเราต้องดีไซน์ Offer ให้เฉียบที่สุดเพื่อมัดใจลูกค้าให้อยู่กับเราให้ได้

ย้ำอีกหนว่าใน Content เดียวกัน เราต้องนำเสนอ Offer 2 ชุดพร้อม ๆ กัน ถ้าเอาใจเฉพาะแค่ Google การติดอันดับ 1 หรือ Top Rank ใน Google ก็หมดความหมายครับ ถ้า Offer ชุดที่ 2 สู้กับคู่แข่งไม่ได้ แม้จะติด Google แต่ขายไม่ได้ ป่วยการ เสียเวลาเปล่าครับ ส่วนคนไหนที่ทำให้ทั้งโรบอท และคนมีความสุขได้พร้อมกัน คนนั้นชนะเลิศครับ ยิ่ง Happy มากเท่าไร Web Traffic ยิ่งพุ่งกระฉูด โอกาสปิด Deal ได้ Order ก็สูงตามมาอย่างแน่นอนครับ

วกกลับมาที่เรื่อง Title ครับ ในการสร้าง Web Content ใด ๆ ขึ้นมาก็ตาม Title ถือเป็นจุดที่เราทำการบ้านเยอะ ๆ คิดเยอะ ๆ เพราะมันมีอิทธิพลต่อ Attention ของคนและการจัดอันดับของโรบอทอย่างมหาศาล

ไปครับ ตอนนี้ไปรู้จักกับ Title ทั้ง 3 จุด 3 แบบกันครับ

รูปแบบ Title

Post Title

จุดแรก คือ “Post Title” หรือ “ชื่อเรื่อง” ของบทความที่เราเขียนนั้นเอง จะเรียกว่า Headline หรือการพาดหัวก็ได้ จุดนี้ยังไงเวลาสร้าง Content ขึ้นมาต้องใส่อยู่แล้ว เขียนขึ้นมาโดยไม่ใส่ชื่อเรื่อง คนอ่านก็ไม่มีทางรู้ว่าเนื้อหาข้างในเกี่ยวกับเรื่องอะไร

ถามว่า Post Title มีผลต่อ SEO ไหม มีแน่นอนครับ Content ในหน้าเว็บไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหนล้วนมีผลต่อ SEO ทั้งสิ้นครับ แต่ส่วนตัวเวลาเขียน Post Title ส่วนตัวให้ผมจะให้น้ำหนักเรื่อง SEO (เอาใจโรบอท) แค่ 40% ส่วนอีก 60% โฟกัสไปที่การสื่อสารให้ตรงกับความต้องการลูกค้า (เอาใจคน) ให้มากที่สุด 

การเขียน SEO Title

ชื่อบทความที่ดีต้องบอกเนื้อหาหลักของบทความได้ทันที รวมทั้งมีหน้าที่กระตุ้นให้ลูกค้าคลิกเข้าไปอ่าน Content ด้านในให้ได้ หลักการที่ผมใช้คือพยายามจี้ไปที่ปัญหาที่คาดว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายกำลังประสบอยู่ ซึ่งโดยปกติผมจะคิด Post Title ขึ้นมา 3-5 ชื่อ แล้วใช้หลักการ 3 ข้อต่อไปนี้เป็นกรอบในการตัดสินใจเลือกชื่อที่ดีที่สุด

  1. ใคร (ลูกค้ากลุ่มไหน) คือเป้าหมายที่เราต้องการจะสื่อสารด้วยมากที่สุด
  2. ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมีปัญหาอะไร และ Content ของเราจะนำเสนอวิธีแก้ปัญหาอะไรให้
  3. วิธีแก้ปัญหาที่นำเสนอมีความพิเศษ หรือแตกต่างจากทั่วไปอย่างไร

คำตอบที่ได้ไม่ได้ทำให้ได้ชื่อเรื่องแบบปุ๊ปปั๊ป แต่ก็ช่วยให้เรามีทิศทางในการตั้งชื่อ และปรับแต่ง หรือ Fine Tune จนได้ชื่อที่ดีที่สุดและมีพลังที่สุด ถามว่ายากไหม ไม่ยากครับ แต่ก็ไม่ง่ายซะทีเดียว เพราะเราต้องใส่หลายสิ่งหลายอย่างลงไปในประโยคสั้น ๆ  (แม้จะไม่มีข้อกำหนดเรื่องความยาวของ Post Title แต่เราก็ควรทำให้กระชับที่สุด)

ตัวอย่างเพิ่มเติมครับ

  • 5 วิธีเพิ่มยอดขาย 2 เท่าโดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณาเฟสบุ๊ค
  • 7 วิธีสร้างรายได้เสริม 20K / เดือนโดยไม่ต้องลาออกจากงาน
  • สรุปอย่างละเอียด มือใหม่เล่นหุ้นอย่างไรไม่ให้เจ็บตัว
  • เปลี่ยนคำปฏิเสธให้กลายเป็นยอดขาย เคล็ดลับที่นักขายมือทองไม่ยอมบอกคุณ
  • รักษาเบาหวานอยู่หมัดใน 7 วัน โดยไม่ต้องพึ่งยา

น่าจะพอได้ Idea ในการเขียน Post Title แล้วนะครับ ค่อย ๆ ฝึกเขียนดูครับ …. ย้ำอีกครั้งว่า Title ส่วนนี้ผมโฟกัสไปที่ “คน” มากกว่า “โรบอท”

SEO Tag Title

Advertising

Title จุดที่ 2 เรียกว่า SEO Title Tag ซึ่งอยู่ในส่วนของ Meta Data รวมกับ Meta Description นั่นเอง สำหรับท่านที่ไม่ได้อยู่ในสาย SEO อาจสงสัยว่า Title SEO Tag อยู่ตรงไหน และมีความสำคัญอย่างไร อธิบายง่าย ๆ แบบนี้ครับ โดยปกติแล้วเราจะเห็น Title Tag อยู่ 2 ตำแหน่ง หนึ่งบน Tab ของ Browser และสองที่หน้าแสดงผลการค้นหาของ Gogle หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Search Engine Result Page (SERP)

สำหรับ SEO Title Tag มีความสำคัญ 2 เรื่องหลักดังนี้

  1. เป็นข้อมูลที่สื่อสารกับ Google Bot โดยตรง คอยทำหน้าที่บอกให้ Google รู้ว่าบทความแต่ละบทความมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับเรื่องอะไร เมื่อมีการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับบทความดังกว่าว Google จะใช้ข้อมูล Meta Data เป็นส่วนหนึ่งในการจัดอันดับและแสดงผลให้สอดคล้องกับ Search Intent หรือความต้องการของผู้ค้นหา และ
  2. นอกจากจะบอกลูกค้าแบบเดียวกับที่บอก Google ยังทำหน้าที่กระตุ้นให้ลูกค้าคลิกเข้าอ่าน หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้อีกด้วยครับ

สำหรับ SEO Title Tag ผมทิ้งน้ำหนักไปที่การสื่อสารกับ “โรบอท” มากถึง 60-70%  สาเหตุที่โฟกัสไปที่โรบอทมากกว่า เป็นเพราะพื้นที่ในการใส่ข้อมูลในจุดนี้ค่อยมีจำกัด และจากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า Google จะนำ Title Tag และ Meta Description ขึ้นมาแสดงผลใน SERP พร้อม ๆ กัน ถ้ายังมีข้อมูลอะไรที่เราต้องการใส่เพิ่มเติม เราจับใส่ที่ Meta Description ได้ครับ 

นักการตลาดออนไลน์สาย SEO ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เฮียกู (เกิ้ล) ให้ความสำคัญกับ SEO Title Tag ค่อนข้างมาก ดังนั้นเราต้องเขียน Title ในส่วนของ Meta Data ให้ถูกหลักการที่ Google วางเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องคีย์เวิร์ด ยิ่งเราเป็นเด็กดี ทำสิ่งที่ Google ต้องการได้มากเท่าไร Google ก็ยิ่ง Happy มากเท่านั้น

สุดท้ายแล้ว Google จะจัดลำดับโพสต์ไว้ในตำแหน่งดี ๆ เพื่อเป็นการตอบแทนความเป็น Good Boy ของเรา อย่างไรก็ตามครับ เราก็ต้องไม่ลืมว่า SEO Title ยังมีหน้าที่ที่ 2 ดังนั้นเขียนถูกหลัก Google อย่างเดียวไม่พอ ต้องเขียนให้ “จิ๊ด” ไปที่หัวใจของคนด้วย ถ้าติดอันดับ แต่มี CTR (Click Through Rate) ต่ำมาก แปลว่าติดอันดับในหน้าแสดงผลแต่คนไม่คลิกเข้าไปอ่าน ถ้าปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ โดยไม่มีการแก้ไข ฟันธงได้เลยว่าโดน Google ลดลำดับไปอยู่ปลายแถวแน่ ๆ เพราะ Google มองว่าโพสต์ของเราเป็นโพสต์ไม่มีคุณภาพ ไม่น่าสนใจ

หลักการในการเขียน SEO Title

  1. ใส่ Main Keyword เพียง 1 คำ (เท่านั้น) ใน Title Tag
  2. วาง Main Keyword ไว้ตำแหน่งต้นประโยค
  3. ใช้ Long tail Keyword หรือ Related Words ถ้าจำเป็น เพื่อให้ทำ Google มั่นว่าประเด็นหลักของโพสต์คืออะไร
  4. ใส่ Offer หรือ Call to Action เพื่อกระตุ้นให้สนใจและคลิก
  5. ใส่ตัวเลข หรือใช้ภาษาอังกฤษแทรกเพื่อให้สะดุดตา
  6. Content แต่ละเรื่องต้องมี SEO Title ของใครของมัน
  7. ต้องไม่ซ้ำกับ Meta Description

ที่น่าตกใจและน่าเป็นห่วงมาก เวลาวิเคราะห์เว็บไซต์ตอนเข้าไปให้คำปรึกษาผู้ประกอบการ SMEs ผมพบว่าผู้ประกอบการไม่ได้ใส่ Title Tag กันเป็นจำนวนมาก แถมที่ใส่ก็ไม่ค่อยถูกหลักการกันสักเท่าไร  ตรงนี้ถือว่าเสียหายสำหรับการทำ SEO ส่วนจะเสียหายมากน้อยแค่ไหน ผมอยากให้ตามไปอ่านบทความด้านล่างนี้เพิ่มเติมครับ

Facebook Title

Title จุดสุดท้าย คือ Facebook Title ครับ เชื่อว่าหลายท่านไม่คุ้นกับ Facebook Title กันสักเท่าไร จริง ๆ แล้วมันก็คือ Title ที่จะปรากฏขึ้นเมื่อเรานำบทความจากเว็บไซต์ของเราไปแชร์บน Facebook นั่นเอง

ดูตัวอย่างประกอบครับ

คนที่ทำ SEO อยู่บ้างแล้ว คงสงสัยว่าไม่เห็นมีอะไรแปลกสักหน่อย เพราะ Facebook Title ที่เห็นมันก็คืออันเดียวกับ SEO Title Tag ในข้อ 2 … ใช่ครับ ถ้าเราใส่ SEO Title แต่ไม่มีการจัดการอะไรเพิ่มเติม เวลาที่แชร์โพสต์ไป ระบบจะไปดึงเอา SEO Title Tag ขึ้นมาแสดงครับ

ถามว่าได้ไหม คำตอบคือได้ครับแต่ไม่ดีที่สุด ถ้าจะให้ดีกว่า ผมแนะนำให้แยก Facebook Title ออกจาก SEO Title แบบเสร็จเด็ดขาดไปเลย

ผมมีเหตุผล 2 ข้อแบบนี้ครับ

หนึ่ง แต่ละ Platform มี  “จริต” ไม่เหมือนกัน เช่น เราใช้ Google เพื่อค้นหาข้อมูล (เราจึงให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อนเรื่องอื่น ๆ) ขณะที่เราเล่น Facebook เพื่อความบันเทิง / สนุกสนานเป็นหลัก (เราจึงไม่ชอบดูข้อมูลอะไรที่ทางการเกินไป) หรือในส่วน Instagram เราก็เล่นเพื่ออวดรูปสวย ๆ กัน (เราจึงไม่อยากอะไรที่มีข้อมูลเป็นตัวหนังสือเยอะเกินไป) 

เห็นไหมครับว่า “จริต” ไม่เหมือนกัน ถ้าจู่ ๆ เราเอา Content จากเว็บไปแชร์บน Facebook แบบทื่อ ๆ โดยไม่มีการปรับแต่งอะไรเลยทั้ง Title, Description และ Image มันก็ไม่น่าสนใจ ถ้าเราอยากจะได้ Web Visit หรือ Engagement (Like, Comment, Share) จากลูกค้าบน Facebook เพิ่มมากขึ้น เราต้องปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ 

จะเปลี่ยนยังไงใช่ไหมครับ ? Facebook เป็นเครื่องการตลาดแนว Push Marketing คือผลักสินค้า / บริการไปหาลูกค้า การแนวนี้ถ้าจะโดดเด่นจากคู่แข่ง ต้องกล้าโม้ ต้องกล้าอวดของดี (ต้องดีจริง ๆ ) ใช้คำพูดตรง ๆ ได้ ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนมากนัก ลูกเล่นโปรโมชั่นต่าง ๆ หยิบมาใส่ได้ รูปภาพก็ต้องไปในทิศทางเดียวกับข้อความ

เครื่องมือในการทำ Title แบบ 3 in 1

ถึงตรงนี้ ทุกท่านทราบดีแล้วว่า Title ทั้ง 3 แบบ (Post Title / SEO Title และ Facebook Title คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในเชิงการตลาดออนไลน์ สเต๊ปต่อไปผมจะพาไปรู้จักกับเครื่องมือที่จะช่วยให้การทำ 3 Title ในโพสต์เดียวกันเป็นเรื่องง่ายแบบปลอกกล้วยเข้าปาก

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเว็บไซต์ของผม ไม่ว่าจะเป็น ifarm หรือแม้กระทั้ง iwisdom ที่คุณใช้อยู่ตอนนี้ต่างใช้โปรแกรม WordPress ทำขึ้นมาทั้งหมด ดังนั้นเครื่องมือที่จะใช้ก็ต้องทำงานร่วมกับ WordPress แบบไร้รอยต่อ สำหรับงานนี้ ผมเลือกใช้ปลั๊กอินที่ชื่อ Yoast SEO ครับ

ขั้นตอนการติดตั้ง Yoast SEO Plugin

  1. Login เข้า WP-Admin
  2. ไปที่เพิ่มปลั๊กอิน
  3. พิมพ์ค้นหา Yoast SEO Plugin
  4. คลิก Install เพื่อติดตั้ง
  5. คลิก Activate เพื่อเริ่มทำงาน

ขั้นตอนและวิธีการทำ

หลังจาก Install และ Activate เรียบร้อยแล้ว สเต๊ปต่อไปเราก็เข้าไปใส่ Facebook Title และรูปภาพกันครับ มีทั้งหมด 4 ขั้นตอนครับ

  1. เปิด Post หรือบทความที่เราต้องการใส่ Facebook Title + เลื่อนเมาส์หา Panel การใช้งานของ Plugin ที่ด้านล่าง + หลังจากนั้นให้คลิกที Tab “Social”
  2. เพิ่มรูป โดยขนาดของรูปที่ใช้กับ Facebook Title ควรอยู่ที่ 1200 * 630 pixel
  3. ต่อจากนั้นให้ใส่ Facebook Title (ควรแตกต่างจาก Post Title + SEO Title Tag)
  4. สุดท้ายให้ใส่ Facebook Description 

ดูรูปภาพด้านล่างประกอบนะครับ ผมเอา “ของจริง” ที่ผมทำมาเป็นตัวอย่างให้เลยครับ น่าจะทำตามกันได้ไม่ยาก … ลุยครับ

สรุปไอเดีย

ในการทำการตลาดออนไลน์ Title ถือเป็น Critical Point ที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สิ่งที่ต้องฝังอยู่ในสมองของเราตลอดเวลาคือเราจะดีไซน์ Title ทั้ง

 3 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Post Title, SEO Title หรือ Facebook Title ให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าออนไลน์ 2 กลุ่มหลัก : Google Bot และมนุษย์ให้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ไม่มีทางที่เราจะเขียน Title ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่รู้ว่า Google Bot ต้องการอะไร และมนุษย์ต้องการอะไร ถ้าเราตอบสนอง Google ได้ รางวัลของเราคือการที่ Google จะพาเราไปเจอลูกค้า “คนที่ใช่” ผ่าน SERP และแน่นอนถ้าเราตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้พร้อมกันด้วยแล้ว รับรอง Order เข้ารัว ๆ ครับ

คอร์สสอนปลูกผักสลัด
คอร์สติดปีกธุรกิจ
คอร์สเติมความสุข

"ดร. คณวัฒน์" จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจาก "มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ" หรือ "ABAC"

"ดร. คณวัฒน์" เคยทำงานเป็นที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการของรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง และยังได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง

หลายปีก่อน "ดร. คณวัฒน์"หันมาสนใจงานด้านการเกษตรและธรรมชาติ เขาได้ก่อตั้ง "ไอฟาร์ม" เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรและสุขภาพสำหรับคนรุ่นใหม่ รวมทั้งเป็นผู้ผลิต / จัดจำหน่าย และผู้ส่งออกสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตรและสุขภาพอีกด้วย

"ดร. คณวัฒน์" เชื่อว่างานเกษตรเป็นอาชีพที่สร้างทั้งรายได้ และความสุขไปพร้อมกันได้หากมีความคิดที่ถูกต้อง และหากสามารถผสานความรู้ในการเพาะปลูกให้เป็นหนึ่งเดียวกับความรู้ด้านการตลาดและเทคโนโลยี่ได้